เวียตเจ็ท จัดโปรฯ รับปีใหม่บินคุ้ม เริ่มต้น 799 บาท
เวียตเจ็ทไทยแลนด์ ส่งโปรฯ รับปีใหม่ “โปรฯ เริ่มปีมีโชค บินราคาสุดคุ้ม” เส้นทางในประเทศ บัตรโดยสารเริ่มต้นเพียง 799 บาท-เส้นทางระหว่างประเทศ เริ่มต้น 1,799 บาท จองได้ถึงวันที่ 22 ม.ค.นี้ เดินทางวันที่ 1 มี.ค.-25 ต.ค. 2568
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวียตเจ็ทไทยแลนด์ ส่งมอบความสุขรับปีใหม่ ออกโปรโมชั่น “โปรฯ เริ่มปีมีโชค บินราคาสุดคุ้มกับเวียตเจ็ท (Lucky January)” เสนอบัตรโดยสารราคาพิเศษ เริ่มต้นเพียง 799 บาท (ราคารวมภาษีและค่าธรรมเนียม) สำหรับเดินทางบนเครือข่ายเส้นทางบินภายในประเทศ
และราคาเริ่มต้น 1,799 (ราคารวมภาษีและค่าธรรมเนียม) สำหรับเส้นทางบินระหว่างประเทศของเวียตเจ็ทไทยแลนด์ สามารถสำรองบัตรโดยสารได้ระหว่างวันที่ 17-22 มกราคม 2568 ใช้เดินทางได้ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม-25 ตุลาคม 2568 (ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์) ที่ www.vietjetair.com
บัตรโดยสารราคาโปรโมชั่นนี้สามารถใช้เดินทางได้กับทุกเส้นทางบินบนเครือข่ายเส้นทางบินภายในประเทศของเวียตเจ็ทไทยแลนด์ ได้แก่ กรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) สู่ เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต กระบี่ หาดใหญ่ สุราษฎร์ธานี อุดรธานี ขอนแก่น และอุบลราชธานี รวมถึงเส้นทางบินข้ามภูมิภาคจาก ภูเก็ต สู่ เชียงใหม่ และเชียงราย
และทุกเส้นทางบินบนเครือข่ายเส้นทางบินระหว่างประเทศของเวียตเจ็ทไทยแลนด์ ได้แก่ กรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) สู่ เวียดนาม จีน ญี่ปุ่น พนมเปญ และไทเป รวมถึงเส้นทางบินตรงจาก เชียงใหม่ สู่ โอซากา พร้อมด้วยเส้นทางบินใหม่จาก กรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) สู่ โอกินาวา และฮอกไกโด (ผ่านไทเป) และ มุมไบ (อินเดีย)
ผู้โดยสารสามารถสำรองบัตรโดยสารราคาพิเศษนี้ได้ที่เว็บไซต์ www.vietjetair.com แอปพลิเคชั่น “Vietjet Thailand” หรือผ่านช่องทางเฟซบุ๊กที่ www.facebook.com/VietJetThailand (คลิกที่แถบ “จองเลย”) รวมทั้งตัวแทนจำหน่ายหรือสำนักงานจำหน่ายบัตรโดยสาร พร้อมกันนี้ผู้โดยสารสามารถชำระเงินด้วย “ทรูมันนี่ วอลเล็ท” และบัตรเดบิต หรือบัตรเครดิต
เวียตเจ็ทไทยแลนด์คว้ารางวัล “สายการบินโลว์คอสต์ที่ดีที่สุดในไทยแห่งปี 2567” จากนิตยสารโกลบอลแบรนด์ สหราชอาณาจักร และรางวัล “สายการบินที่พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเป็นมิตรมากที่สุดแห่งปี 2567” จากนิตยสาร International Finance เวียตเจ็ทไทยแลนด์ยึดมั่นในค่านิยมหลัก คือ ‘ความสนุกสนานและเป็นมิตร’ ควบคู่กับ ‘ความปลอดภัย’ ‘ความตรงต่อเวลา’ และ ‘ราคาที่เข้าถึงได้’
เวียตเจ็ทไทยแลนด์ให้บริการครอบคลุม 11 เส้นทางบินภายในประเทศ ได้แก่ เส้นทางบินจาก กรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) สู่ เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต กระบี่ อุดรธานี หาดใหญ่ ขอนแก่น อุบลราชธานี และสุราษฎร์ธานี รวมถึงเที่ยวบินข้ามภูมิภาค จาก ภูเก็ต สู่ เชียงใหม่ และเชียงราย
ทั้งนี้ สายการบินได้ขยายเส้นทางบินระหว่างประเทศสู่หลากหลายจุดหมายปลายทางในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เชื่อมต่อประเทศไทยกับเวียดนาม จีน ญี่ปุ่น กัมพูชา ไทเป มุมไบ และอีกหลายจุดหมายปลายทางทั่วทั้งภูมิภาค
อ่านข่าวต้นฉบับ: เวียตเจ็ท จัดโปรฯ รับปีใหม่บินคุ้ม เริ่มต้น 799 บาท
กลุ่มดุสิตธานีมุ่งอัพมาตรฐาน สู่ผู้นำ “ธุรกิจบริการ” ระดับโลก
“ดุสิตธานี” เดินหน้าสู่ผู้นำอุตสาหกรรมการบริการระดับโลก มุ่งยกระดับมาตรฐานบริการ ผสมผสานความหรูหราแบบไทยกับความทันสมัยผ่านการร่วมมือกับพันธมิตร พร้อมเดินหน้า “Dusit Ajara Hua Hin” โครงการที่อยู่อาศัย-บริการด้านสุขภาพสำหรับทุกช่วงวัย ตั้งเป้าเปิดโรงแรมใหม่อีก 15-17 แห่งทั้งในอินเดีย เวียดนาม และยุโรป
นายศิรเดช โทณวณิก รองประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจโรงแรม กลุ่มบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT เปิดเผยว่า กลุ่มดุสิตธานีกำลังเดินหน้าต่อไปในเส้นทางการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการบริการระดับโลก และเป็นตัวอย่างของการผสมผสานระหว่างการอนุรักษ์ความเป็นไทยและการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกยุคทุกสมัย
พร้อมทั้งร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำหลายบริษัทที่มีวิสัยทัศน์เดียวกัน เพื่อนำเสนอลูกค้าด้วยบริการและประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่มีคุณภาพระดับโลก ยกตัวอย่าง เช่น การกลับมาเปิดตัวโรงแรม Dusit Thani Bangkok อีกครั้งในรูปแบบที่ผสมผสานความคลาสสิกกับความทันสมัยอย่างลงตัว ด้วยมูลค่าการลงทุนสูงถึง 1.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ นับเป็นก้าวสำคัญหลังจากการปิดปรับปรุงครั้งใหญ่เมื่อ 5 ปีที่แล้ว
“ดุสิตธานี กรุงเทพฯ เป็นโครงการที่ทำให้กลุ่มดุสิตสามารถขยายฐานลูกค้าได้มากขึ้น ปัจจุบันราคาการเข้าพักของโรงแรมอยู่ที่ประมาณ 400-500 เหรียญสหรัฐต่อคืน หรือประมาณ 14,000 บาท และคาดว่าจะมีการปรับราคาขึ้นอีกครั้งหลังจากที่โครงการเสร็จสมบูรณ์” นายศิรเดชกล่าวและว่า
หนึ่งในจุดเด่นของการเปิดตัวโรงแรม Dusit Thani Bangkok ที่ผ่านมา คือ ความร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำหลายบริษัท เช่น จิม ทอมป์สัน (Jim Thompson) ผู้ผลิตผ้าไหมไทยระดับโลก ซึ่งได้มีส่วนร่วมในการออกแบบเฟอร์นิเจอร์และตกแต่งภายใน เป็นต้น
“การเปิดตัวโรงแรมที่เน้นคำว่า Luxury สำหรับเรานั้นหมายถึงความร่วมมือกับบริษัทที่มีวิสัยทัศน์เดียวกัน และเราเชื่อมั่นว่าจะช่วยให้เราสามารถเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมได้ เรามุ่งมั่นที่จะยกระดับบริการเพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้าในกลุ่มที่มีกำลังการใช้จ่ายสูง ซึ่งมักจะมองหาประสบการณ์ที่พิเศษและแตกต่าง” นายศิรเดชกล่าว
นายศิรเดชกล่าวด้วยว่า การขยายธุรกิจของกลุ่มดุสิตธานีหลังจากนี้จะไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่การเปิดโรงแรมเท่านั้น แต่ยังมีการขยายไปสู่หลายธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริการ เช่น การศึกษาด้านการโรงแรม ธุรกิจอาหาร และการลงทุนในคอนโดมิเนียม หรือที่พักสำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้คนในทุกวัย
รวมถึงธุรกิจ Catering Service ที่ให้บริการอาหารแก่การบินไทย โดยส่งมื้ออาหารกว่า 200,000 มื้อในทุก ๆ สองเดือน สำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศ อีกทั้งยังมีการลงทุนใน Dusit Central Park และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งจะเป็นโครงการที่กำลังเปิดเร็ว ๆ นี้
นอกจากนี้ บริษัทยังได้ประกาศเปิดตัวโปรเจ็กต์ใหม่ภายใต้ชื่อ “Dusit Ajara Hua Hin” ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์ทั้งด้านการอยู่อาศัยและการให้บริการด้านสุขภาพที่เน้นการสร้างพื้นที่สำหรับทุกช่วงวัย โดยไม่จำกัดแค่ผู้สูงอายุเท่านั้น โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการอยู่ร่วมกับพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายในสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย
โดยตั้งเป้าพัฒนาโครงการ “Dusit Ajara Hua Hin” ให้เป็นโครงการที่มีคุณภาพสูง โดยการออกแบบที่มีการพิจารณาทุกด้านตั้งแต่พื้นที่ใช้สอย การให้บริการ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น บริการ House City Service เพื่อความสะดวกในการดูแล เช่น การเปลี่ยนปลอกหมอนและเครื่องนอนต่าง ๆ ทุกเดือน
ส่วนการขยายตลาดและการพัฒนาในระดับนานาชาตินั้น บริษัทมีแผนที่จะขยายโครงการไปยังประเทศต่าง ๆ โดยเน้นในตลาดเอเชียและยุโรป โดยเฉพาะในประเทศที่มีเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวกำลังเติบโต เช่น อินเดีย และเวียดนาม รวมถึงในยุโรป โดยเฉพาะในประเทศเยอรมนีและฝรั่งเศส
โดยปีนี้บริษัทได้ตั้งเป้าหมายการเปิดโรงแรมใหม่ประมาณ 15-17 แห่ง โดยคำนึงถึงการคัดเลือกทำเลที่มีศักยภาพสูง พร้อมการให้บริการที่มีมาตรฐานระดับสูง ทั้งในส่วนของการออกแบบโรงแรมและการบริการลูกค้า รวมถึงการขยายแบรนด์ในเอเชียที่มีความต้องการตลาดโรงแรมและการท่องเที่ยวที่สูงขึ้น
อ่านข่าวต้นฉบับ: กลุ่มดุสิตธานีมุ่งอัพมาตรฐาน สู่ผู้นำ “ธุรกิจบริการ” ระดับโลก
ไทยชูวิสัยทัศน์พัฒนา การท่องเที่ยวอาเซียน-อินเดีย ยั่งยืน รับปี 2568
ไทยเสนอแนวทางส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างอาเซียน-อินเดีย ในการประชุมรัฐมนตรีครั้งที่ 12 พร้อมเชิญชวนเข้าร่วม “ASAEN-India Forum” ปี 2568 มุ่งยกระดับการท่องเที่ยวแบบ Two-way Tourism ชูแผนฝึกอบรมทักษะภาษาฮินดี รองรับการเติบโตนักท่องเที่ยวอินเดีย
รายงานข่าวจาก โรงแรมฮิลตัน เมืองยะโฮร์บาห์รู สหพันธรัฐมาเลเซีย นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมด้วย นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นางณัฎฐิรา แพงคุณ รองอธิบดีกรมการท่องเที่ยว และคณะฯ เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน-อินเดีย ครั้งที่ 12
การประชุมฯ ดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อรายงานความคืบหน้าความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างอาเซียนกับอินเดีย รวมถึงความพยายามในการฟื้นฟูการท่องเที่ยวของภูมิภาคอย่างยั่งยืน โดยรมว.กก. ได้กล่าวแสดงความยินดีที่อาเซียนและอินเดียประกาศให้ปี พ.ศ. 2568 เป็นปีแห่งการท่องเที่ยวร่วมกัน
นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวภายหลังการรนำเสนอภาพรวมนโยบายด้านการท่องเที่ยวที่ไทยได้ดำเนินการอยู่ ว่า ปัจจุบันมีการออกมาตรการยกเว้นการตรวจลงตราให้แก่นักท่องเที่ยวชาวอินเดียเพื่อการท่องเที่ยวและติดต่อธุรกิจระยะสั้น ระยะเวลาพำนักไม่เกิน 60 วัน ส่งผลให้ ตั้งแต่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2567 มีนักท่องเที่ยวชาวอินเดียเดินทางมาไทยจำนวน 2,129,149 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 30.73 เมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2566 (จำนวน 1,628,542 คน)
นายสรวงศ์ กล่าวต่อว่า ได้กล่าวแสดงวิสัยทัศน์และข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เพื่อเป็นแนวทางในการส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างอาเซียน – อินเดีย ดังนี้
- การนำเสนอข้อริเริ่มของไทยและข้อเสนอแนะในการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและมีความรับผิดชอบ
- การส่งเสริมการพัฒนาทักษะและองค์ความรู้ที่จำเป็นในการพัฒนาการตลาดท่องเที่ยวกับอินเดีย และแจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม “ASAEN – India Forum: Journey of Opportunities” ในช่วงปี พ.ศ. 2568 และขอเชิญชวนประเทศสมาชิกอาเซียน รวมถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้าร่วม Forum ดังกล่าว เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันการท่องเที่ยวอาเซียน – อินเดีย
- ประเทศไทย โดยกรมการท่องเที่ยว เล็งเห็นถึงความสำคัญของการใช้ภาษาฮินดีเพื่อการท่องเที่ยว และได้มีแผนจัดการฝึกอบรมทักษะภาษาฮินดีให้กับบุคลากรด้านการท่องเที่ยว ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในกิจกรรมเฉลิมฉลองการท่องเที่ยว อาเซียน – อินเดีย
- การส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบ Two – way Tourism ซึ่งปัจจุบันนักท่องเที่ยวชาวอินเดียเดินทางท่องเที่ยว
ทั้งนี้ ในอาเซียนเพิ่มมากขึ้น และส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวอาเซียนเดินทางท่องเที่ยวในอินเดียเพิ่มขึ้นด้วย จึงเห็นควรให้อินเดียทำการตลาดในอาเซียน ภายใต้การจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวอาเซียนให้เป็นที่รับรู้ของตลาดนักท่องเที่ยวชาวอินเดียมากขึ้น
รวมถึงพิจารณาเพิ่มเที่ยวบินตรง และการจัดทำแพ็คเกจการท่องเที่ยวไปยังเมืองหลักและเมืองรองของอินเดีย และอาเซียน
สำหรับการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน-อินเดีย ครั้งที่ 13 ครั้งหน้า จะจัดขึ้นในช่วงเดือนมกราคม 2569 ณ เมืองเซบู สาธารณรัฐฟิลิปปินส์
อ่านข่าวต้นฉบับ: ไทยชูวิสัยทัศน์พัฒนา การท่องเที่ยวอาเซียน-อินเดีย ยั่งยืน รับปี 2568
อินโดนีเซีย เตรียมรับเครื่องบิน A400M ลำแรก เริ่มใช้งานปลายปี’68
กองทัพอากาศอินโดนีเซียเตรียมรับเครื่องบิน A400M ลำแรก เสริมความยืดหยุ่นในการปฏิบัติการทางทหาร-ช่วยเหลือภัยพิบัติ คาดพร้อมใช้งานปลายปี 2568
เครื่องบินแอร์บัส เอ400เอ็ม (A400M) ลำแรกของกองทัพอากาศอินโดนีเซียได้เข้าสู่สายการประกอบขั้นสุดท้าย (Final Assembly Line หรือ FAL) ในเมืองเซบีญา (Seville) ประเทศสเปน ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในขั้นตอนการผลิตเครื่องบินขนส่งลำเลียงทางทหารและเติมเชื้อเพลิงอเนกประสงค์ลำนี้ ก่อนจะส่งมอบในปลายปี 2568
ในขั้นตอนการประกอบนี้ได้มีการดำเนินงานส่วนสำคัญหลายประการเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว เช่น การติดตั้งส่วนแพนหางแนวนอน (Horizontal Tail Plane: HTP) เข้ากับแพนหางดิ่ง (Vertical Tail Plane: VTP) และการประกอบปีกของอากาศยานเข้ากับลำตัวเครื่องบิน
เครื่องบิน A400M หมายเลขการผลิต MSN148 จะเข้าสู่เข้าสู่กระบวนการติดตั้งระบบพลังงานขับเคลื่อนและซอฟต์แวร์ของอากาศยานเป็นลำดับถัดไป จากนั้นจะถูกนำไปทดสอบระบบการทำงานต่าง ๆ ก่อนการทดสอบใช้เครื่องยนต์เป็นครั้งแรก
สำหรับ A400M ลำที่สองของประเทศอินโดนีเซีย หมายเลข MSN150 ขณะนี้กำลังอยู่ในกระบวนการผลิตระยะก่อนที่จะเข้าสู่สายการประกอบขั้นสุดท้าย
ทั้งนี้ กระทรวงกลาโหมอินโดนีเซียได้สั่งซื้อเครื่องบินแอร์บัส A400M จำนวน 2 ลำในปี 2564 โดยการเข้าประจำการของ A400M จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการปฏิบัติการของกองทัพอากาศอินโดนีเซีย รองรับทั้งภารกิจทางยุทธศาสตร์และยุทธวิธี รวมถึงการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม การเคลื่อนย้ายทางการแพทย์ และการเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศ
A400M มีความสามารถในการขนส่งน้ำหนักบรรทุกสูงสุดถึง 30 ตัน ซึ่งรวมถึงความสามารถในการบรรทุกเฮลิคอปเตอร์และยานพาหนะทางทหารต่าง ๆ ในระยะทางมากกว่า 2,400 ไมล์ทะเล (หรือราว 4,444.8 กิโลเมตร) และสามารถปฏิบัติการบนทางวิ่งเครื่องบินที่ไม่มีมีผิวพื้นจราจร (unpaved runways) ได้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการช่วยเหลือในเหตุการณ์ภัยพิบัติ
นอกจากนี้ A400M ยังทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มในการเติมเชื้อเพลิงสำหรับอากาศยานได้หลากหลายประเภท เพื่อให้มั่นใจได้ว่าการปฏิบัติการนั้นดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
อ่านข่าวต้นฉบับ: อินโดนีเซีย เตรียมรับเครื่องบิน A400M ลำแรก เริ่มใช้งานปลายปี’68
อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยฟื้นตัวเต็มที่ ปี 2025 เทรนด์ Wellness มาแรง
ในปี 2024 อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยได้รับการฟื้นตัวอย่างชัดเจน โดยสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศได้ถึง 35 ล้านคน แม้ว่าจะยังไม่ถึงระดับปี 2019 ที่มีนักท่องเที่ยวถึง 39 ล้านคน แต่ตลาดหลักจากประเทศจีนซึ่งเป็นแหล่งนักท่องเที่ยวสำคัญเริ่มกลับมามีแนวโน้มที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวจากประเทศอื่น ๆ เช่น มาเลเซีย อินเดีย เกาหลีใต้ และรัสเซีย ก็เริ่มมีการเติบโตต่อเนื่อง โดยถือเป็นตลาดเกิดใหม่ที่น่าสนใจและมีศักยภาพในการขยายตัวในอนาคต
โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวคือ นโยบายวีซ่า “On Arrival” ที่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวสามารถขอวีซ่า หรือผ่านเข้าเมืองเมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทย นโยบายนี้ช่วยลดขั้นตอนและเพิ่มความสะดวกในการเดินทางให้กับนักท่องเที่ยวจากหลายประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียกลาง
Wellness เทรนด์ปี 2025
“บิล บาร์เน็ต” กรรมการผู้จัดการ C9 Hotelworks ผู้จัดงาน Thailand Tourism Forum 2025 (TTF) ระบุว่า ในปี 2025 อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากตลาดที่กำลังขยายตัว เช่น ไต้หวัน ซึ่งมีการเพิ่มจำนวนเที่ยวบินของสายการบินไทย และตลาดใหม่จากประเทศอื่น ๆ เช่น อินเดียและรัสเซีย ที่มีความสนใจในการเดินทางมาประเทศไทยมากขึ้น
โดยเทรนด์ท่องเที่ยวที่น่าสนใจคือ “Wellness Tourism” หรือการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในระดับสากล ซึ่งประเทศไทยมีจุดเด่นในการให้บริการด้านสุขภาพที่หลากหลาย ทั้งการรักษาทางการแพทย์ (Medical Treatment) และการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพในสถานที่ที่มีชื่อเสียง เช่น สมุย และหัวหิน ซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ต้องการประสบการณ์ในการดูแลสุขภาพที่มีคุณภาพ
กรุงเทพฯ ยังลงทุนต่อเนื่อง
ขณะที่โรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ ยังคงได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในย่านทองหล่อและชิดลม ซึ่งยังมีการเปิดตัวโรงแรมและคอมเพล็กซ์ระดับหรู รวมถึงการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยและอสังหาริมทรัพย์ที่รองรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ
ทำให้กรุงเทพฯกลายเป็นเมืองที่มีความหลากหลายในการรองรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากเอเชีย เช่น เกาหลีใต้และไต้หวัน รวมถึงตลาดจากอเมริกาเหนือและยุโรป
อย่างไรก็ตาม สำหรับประเทศไทยการพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวยังคงเป็นเรื่องสำคัญ โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีการร่วมมือกับสมาคมโรงแรมภูเก็ตในการมอบทุนการศึกษาให้กับนักศึกษาที่มีความสามารถ 93 ทุน ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
หนุน Entertainment Complex
“บิล บาร์เน็ต” ยังบอกอีกว่า การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยในปีที่ผ่านมา และแนวโน้มการเติบโตในปี 2025 นี้ชี้ให้เห็นถึงศักยภาพที่แข็งแกร่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยอาศัยการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน การพัฒนาคนรุ่นใหม่ และการพัฒนาโครงการท่องเที่ยวที่ตอบโจทย์ตลาดใหม่ ๆ
รวมทั้งการควบคุมและจัดการการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ เช่น Entertainment Complex หรือศูนย์รวมความบันเทิงระดับโลก เพื่อให้การท่องเที่ยวไทยเติบโตอย่างยั่งยืน
“โครงการ Entertainment Complex เป็นโครงการที่สามารถเสริมสร้างการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในประเทศได้ แต่ไม่ใช่โฟกัสแค่การพนัน ต้องมีแหล่งบันเทิงอื่น ๆ รวมอยู่ด้วย เช่น การจัดงานสัมมนาและกิจกรรมที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ตัวอย่างจากการพัฒนา “Marina Bay Sands” ในสิงคโปร์ ซึ่งเป็นแหล่งบันเทิงระดับโลกที่มีทั้งบ่อนการพนัน งานสัมมนา และกิจกรรมที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว”
ทั้งนี้ หลักการพัฒนาต้องมีการควบคุมอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบทางสังคม โดยเฉพาะในการควบคุมกิจกรรมบางอย่าง เพื่อให้มั่นใจว่าโครงการดังกล่าวจะสามารถสร้างประโยชน์แก่เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวได้อย่างยั่งยืน
เชื่อช่วยกระตุ้น ศก.ในระยะยาว
ขณะที่ “ศิรเดช โทณวณิก” รองประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจโรงแรม กลุ่มบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาคเอกชนเชื่อมั่นว่าหากมีการพัฒนา Entertainment Complex อย่างระมัดระวังและมีการควบคุมที่ดี จะสามารถช่วยเสริมสร้างการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในประเทศได้อย่างยั่งยืน โดยไม่เกิดผลกระทบในทางลบต่อสังคม
“แม้เราจะสนับสนุนแนวคิด แต่มองว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวต้องมีการควบคุมอย่างเข้มงวด เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสังคม เช่น กรณีการใช้กัญชา ซึ่งแม้จะมีกฎหมายออกมาแล้ว แต่หากไม่สามารถควบคุมได้ดี ก็อาจทำให้ประเทศไม่ได้รับประโยชน์เต็มที่จากการพัฒนา”
งาน Thailand Tourism Forum 2025 ปีนี้จึงนับเป็นเวทีสำคัญในการแลกเปลี่ยนแนวคิดและสร้างความร่วมมือใหม่ ๆ ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวให้เติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
อ่านข่าวต้นฉบับ: อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยฟื้นตัวเต็มที่ ปี 2025 เทรนด์ Wellness มาแรง
“สรวงศ์” ย้ำเอ็นฯ คอมเพล็กซ์ ปลุกลงทุนแสนล้าน-ยกระดับท่องเที่ยวไทยสู่เวทีโลก
“สรวงศ์ เทียนทอง” รมว.ท่องเที่ยวฯ ย้ำโครงการ “เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ พร้อมยกระดับการท่องเที่ยวไทยสู่เวทีโลก ดึงเงินลงทุนกว่า 1 แสนล้านบาท มั่นใจเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวได้ 5-20% เพิ่มรายได้เฉลี่ยต่อหัวของนักท่องเที่ยวจาก 40,000 บาทต่อคนต่อทริป เป็น 60,000 บาทต่อคนต่อทริป
นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยถึงกรณีที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติร่างพระราชบัญญัติสถานบันเทิงครบวงจร หรือ “เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” ว่า โครงการดังกล่าวจะช่วยยกระดับเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศไทย โดยตอบสนองความต้องการสถานที่จัดงานระดับโลก และสร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้หลากหลายกลุ่ม
สำหรับข้อกังวลที่มีคนมองว่าโครงการนี้อาจนำไปสู่การฟอกเงินนั้นนายสรวงศ์กล่าวว่า รัฐบาลได้กำหนดหลักเกณฑ์การควบคุมไว้อย่างรัดกุม มีองค์กรกลางที่ทำหน้าที่กำกับดูแลโดยเฉพาะ และจะมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด
“การขับเคลื่อนนี้เป็นการนำสิ่งที่เคยอยู่ใต้ดินขึ้นมาบนดิน ขอให้ประชาชนไว้วางใจ เราไม่ได้ผ่านกฎหมายเพื่อเปิดกาสิโน แต่เป็นการสร้างสถานบันเทิงครบวงจรที่มีองค์ประกอบหลากหลาย โดยกาสิโนเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ซึ่งแทบไม่มีตัวตนในโครงการนี้” นายสรวงศ์กล่าว
นายสรวงศ์กล่าวด้วยว่า โครงการเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้นใหม่ หรือ Man-Made Attractions เพื่อตอบโจทย์การจัดงานระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นคอนเสิร์ต งานกีฬา หรือเวิลด์คลาสอีเว่นท์ที่ประเทศไทยยังไม่มีโครงสร้างรองรับ
“สิ่งที่รัฐทำไม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่เอกชนสามารถทำได้ เราจึงต้องเดินหน้าโครงการนี้เพื่อสร้างจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวแบบใหม่” นายสรวงศ์กล่าว และว่าปัจจุบันการท่องเที่ยวของไทยยังพึ่งพาแหล่งท่องเที่ยวเดิม เช่น โบราณสถานและธรรมชาติ ซึ่งถูกทำลายลงทุกวัน การสร้างเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ จะช่วยเสริมศักยภาพให้ไทยสามารถแข่งขันในตลาดการท่องเที่ยวโลก เช่นเดียวกับประเทศสิงคโปร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างชัดเจนหลังการเปิดตัวสถานบันเทิงครบวงจร
ทั้งนี้ จากการคาดการณ์เบื้องต้น โครงการเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ จะสามารถดึงดูดการลงทุนมากกว่า 100,000 ล้านบาทต่อโครงการ และสร้างรายได้ให้ประเทศไทยประมาณ 40,000-50,000 ล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดค่าใบอนุญาตไว้ที่ 5,000 ล้านบาทต่อสัมปทาน และค่าธรรมเนียมรายปีอีก 1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของภาครัฐ ทั้งนี้ โครงการยังสามารถเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวได้ถึง 5-20% และเพิ่มรายได้เฉลี่ยต่อหัวของนักท่องเที่ยวจาก 40,000 บาทต่อคนต่อทริป เป็น 60,000 บาทต่อคนต่อทริป
“เราไม่ได้มองเพียงแค่จำนวนของนักท่องเที่ยว แต่เราต้องการนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง หากเราขับเคลื่อนแหล่งท่องเที่ยวเดิมควบคู่กับแหล่งใหม่ ประเทศไทยจะได้รับประโยชน์ทั้งเศรษฐกิจ การจ้างงาน และภาพลักษณ์ที่ยกระดับขึ้นสู่มาตรฐานโลก” นายสรวงศ์กล่าว และย้ำว่า โครงการเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ จึงถือเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวไทย ที่พร้อมจะสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในระยะยาว
อ่านข่าวต้นฉบับ: “สรวงศ์” ย้ำเอ็นฯ คอมเพล็กซ์ ปลุกลงทุนแสนล้าน-ยกระดับท่องเที่ยวไทยสู่เวทีโลก
‘โก้-ภูมิกิตติ์’ ผงาด สทท. ‘ชัย อรุณานนท์ชัย’ ตัวจริงหรือหุ่นเชิด ?
พลิกกลยุทธ์กันแบบนาทีต่อนาทีจริง ๆ สำหรับการเลือกคณะกรรมการบริหารสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) หรือสภาท่องเที่ยว เมื่อ 14 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา
โดยผลการเลือกคือ “ชัย อรุณานนท์ชัย” บิ๊กท่องเที่ยวจังหวัดสมุทรปราการ รองประธานสมาคมสมาพันธ์ธุรกิจการท่องเที่ยวส่วนภูมิภาคแห่งประเทศไทย (TFOPTA) ซึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากกลุ่ม TFOPTA ได้รับเลือกให้เป็น “ประธาน” สภาท่องเที่ยวคนใหม่ มีวาระการบริหารงานประจำปี 2568-2570
เริ่มต้นดีเดินตามกฎข้อบังคับ
ผู้คร่ำหวอดในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวรายหนึ่งบอกกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารและประธาน สทท.ครั้งนี้ มีปรากฏการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นและน่าชื่นชม คือ การดำเนินการเลือกตั้งแบบเลือกตามสาขาอาชีพ และเลือกตามเขตพื้นที่ ซึ่งเป็นไปตามระเบียบ ข้อบังคับ ของ พ.ร.บ.สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
แม้ว่าในที่ประชุมจะมีการเสนอให้ประธานการเลือกตั้งพิจารณาการเลือกตั้งแบบยกมือโหวตเป็นทีม เปิดหน้าโหวตว่าใครสนับสนุนใครแบบเห็นหน้ากัน โดยให้เหตุผลว่าเป็นวิธีที่รวบรัดและทำให้การเลือกตั้งดำเนินการเสร็จเร็วก็ตาม
“ปีนี้เราได้คุณมงคล วิมลรัตน์ รองปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้ด้านกฎหมายมาเป็นประธานการเลือกตั้ง ทำให้กระบวนการเลือกตั้งเดินได้ตามพระราชบัญญัติ มีความโปร่งใส และไม่ได้ลิดรอนสิทธิการออกเสียงของสมาชิก จึงนับว่าเป็นการเริ่มต้นนับ 1 ที่สง่างาม และเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายได้อย่างแท้จริง”
สอดคล้องกับ “สุรวัช อัครวรมาศ” ในฐานะที่รับหน้าที่ให้เป็นประธานกรรมการจัดหาแนวทางในการเลือกตั้งครั้งนี้ที่โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวหลังการเลือกตั้ง 1 วันว่า “ดีใจที่ได้ทำการจัดการเลือกตั้งคณะกรรมการสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวฯ ได้เรียบร้อย ถูกต้องตามหลักการของเจตนารมณ์ในการก่อตั้งสภาท่องเที่ยว”
พร้อมพิมพ์เครื่องหมายแฮชแท็กว่า #กลัดกระดุมเม็ดแรก ซึ่งมีคนท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งเข้ามาคอมเมนต์ชื่นชมการทำงานของคณะกรรมการการเลือกตั้งที่ทำหน้าที่อย่างโปร่งใส ยุติธรรม เป็นที่ยอมรับ ทำให้สภาท่องเที่ยวมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี
“โก้-ภูมิกิตติ์” คุมเกมเบ็ดเสร็จ
แหล่งข่าวในสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวฯรายหนึ่งระบุว่า แม้ผลการเลือกตั้งครั้งนี้จะออกมาว่า “ชัย อรุณานนท์ชัย” ได้รับเลือกให้เป็น “ประธาน” แต่ความยินดีปรีดากลับไม่ได้โฟกัสไปที่ตัวผู้ชนะมากนัก
เพราะหากดูภาพรวมแล้วการเลือกตั้งครั้งนี้ผู้เสนอตัวเป็นประธาน “เจ็บ” ทุกคน มากน้อยต่างกัน แม้แต่ผู้ชนะอย่าง “คุณชัย”
โดยหลายเสียงพูดตรงกันว่าบุคคลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของคุณชัย และน่าจะเป็นผู้ได้ประโยชน์สูงสุดในครั้งนี้ คือ “โก้-ภูมิกิตติ์ รักแต่งาม” อดีตนายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต
พร้อมให้ข้อมูลว่า “โก้-ภูมิกิตติ์” ถือเป็นคีย์แมนที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเปิดประเทศ “ภูเก็ต แซนด์บอกซ์” เมื่อกลางปี 2564 และเปิดหน้าท้าชิงตำแหน่ง “ประธาน” สภาท่องเที่ยว กับ “โกจง-ชำนาญ ศรีสวัสดิ์” เมื่อปี 2566 แต่พ่ายแพ้ไป
หลังจากที่ “โก้-ภูมิกิตติ์” พ่ายแพ้เมื่อ 2 ปีก่อน เขาก็ได้รวบรวมคนท่องเที่ยวที่มีแนวคิดเดียวกันไว้ในมือจำนวนมาก การเลือกตั้งครั้งนี้เขาจึงมีเสียงสำหรับไว้ “ต่อรอง” กับผู้ที่เสนอตัวเป็นประธาน สทท. ในมือถึงเกือบ 40 เสียง จากคะแนนเสียงทั้งหมดราว 180 เสียง
เรียกว่า ทีมไหนได้เป็นพวก ออกแรงอีกแค่ 50-60 เสียงก็ชนะแล้ว แต่ก็ต้องยอมแลกกับเงื่อนไขการต่อรองที่ค่อนข้างสูง
เล่ากันว่าเมื่อส่ง “คุณชัย” เข้าถึงเส้นชัยแล้ว ก้าวต่อจากนี้ “โก้-ภูมิกิตติ์” จะกลายเป็นผู้คุมเกมเบ็ดเสร็จ และพร้อมเปลี่ยนตำแหน่งมาเป็นผู้เล่นศูนย์หน้าแน่นอน โดยมี “ส้ม-ศิริรัตน์ เด่นวรพงษาสุข” เจ้าของโรงแรมอุบลบุรี ที่ว่างเว้นจากงานสภาท่องเที่ยวไปประมาณ 4 ปี เข้ามาร่วมเป็นอีกหนึ่งผู้เล่นคนสำคัญในฐานะ “กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ” ด้วย
โดย “ส้ม-ศิริรัตน์” ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่พ่ายแพ้ให้กับ “โกจง-ชำนาญ” ในเวทีเลือกตั้ง สทท. เมื่อ ธันวาคม 2563 เมื่อคนหัวอกเดียวกันมารวมพลังกัน หลายคนจึงอดคิดไม่ได้ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ทั้ง 2 คนมีเป้าหมายเดียวกัน คือ โค่นขั้วอำนาจกลุ่ม “โกจง-ชำนาญ” ที่เพิ่งหมดวาระลง และก็ทำสำเร็จเสียด้วย
และยังวิเคราะห์ต่อด้วยว่า ตัวแทนสภาท่องเที่ยวที่น่าจะถูกวางตัวเป็น “บอร์ด” ททท.รอบนี้ นอกจาก “คุณชัย” ที่เป็นโดยตำแหน่งแล้ว น่าจะมีชื่อ “โก้-ภูมิกิตติ์” แน่นอน ส่วนจะมี “ส้ม-ศิริรัตน์” ด้วยหรือไม่นั้น ต้องรอลุ้นกัน
ปิดตำนาน “โกจง-ชำนาญ”
ด้าน “โกจง-ชำนาญ ศรีสวัสดิ์” อดีตประธานสภาท่องเที่ยว 2 วาระ รวม 4 ปี ที่เพิ่งหมดวาระลงนั้น ก่อนหน้านี้ได้ให้สัมภาษณ์สื่อและย้ำมาโดยตลอดว่า ผู้สมัครเป็นประธานสภาท่องเที่ยวทั้ง 4 คนในครั้งนี้เป็นทีมเดียว เป็นคนที่สนับสนุนตนขึ้นเป็น “ประธาน” ใน 2 วาระที่ผ่านมา เรียกว่าไม่มีใครเป็น “ฝ่ายตรงข้าม”
ดังนั้น ไม่ว่าใครจะได้เป็นประธานสภาท่องเที่ยว อีก 3 คนที่เหลือก็ยังเป็นทีมเดียวกัน ยังคงทำงานสนับสนุนซึ่งกันและกันอยู่เหมือนเดิม ซึ่งตนก็ยืนอยู่บนความ “เป็นกลาง” และสนับสนุนทั้ง 4 คนให้ทำงานร่วมกันต่อไป
ขณะที่แหล่งข่าวในวงการท่องเที่ยวอีกรายหนึ่งบอกกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในความเป็นจริงแล้ว ใคร ๆ ก็รู้ว่าอดีตประธานสภาท่องเที่ยวผู้นี้คุมเกมและสนับสนุนผู้เสนอตัวเป็นประธานรายหนึ่งไว้เช่นกัน
แน่นอนว่า ก็มีเงื่อนไข “ต่อรอง” ที่ไม่น้อยเช่นกัน
โดยยืนยันว่า ที่ชัดเจนที่สุดคือ ขอให้ส่งชื่อตัวเองเข้าไปเป็น 1 ใน 8 ผู้ทรงคุณวุฒิที่ร่วมเป็นคณะบริหารสภาท่องเที่ยว และยังแว่วมาด้วยว่าเป้าหมายที่มากกว่านั้นคือ เป็น 1 ใน 3 ตัวแทน สทท. เพื่อไปนั่งเป็น “บอร์ด” ททท.อีกครั้ง
แหล่งข่าวยังบอกด้วยว่า เมื่อผลการเลือกตั้งครั้งนี้ออกมาแบบ “เปลี่ยนขั้ว” เช่นนี้ จึงเท่ากับเป็นการปิดตำนานขั้วอำนาจของ “โกจง-ชำนาญ” ไปโดยปริยาย
และยังเชื่อด้วยว่า การก้าวเข้ามาเป็นผู้คุมเกมแบบเบ็ดเสร็จให้กับ “คุณชัย” ของ “โก้-ภูมิกิตติ์” ในครั้งนี้ นอกจากจะสามารถ “พลิกขั้ว” สำเร็จแล้ว ยังถือเป็นการสร้างฐานให้ตัวเอง เพื่อก้าวสู่ตำแหน่ง “ประธาน” สทท.ในอีก 2 ปีข้างหน้าอีกด้วย
ในช่วง 2 ปีนับจากนี้จึงเป็นที่น่าจับตาอย่างยิ่งว่า สภาท่องเที่ยวจะสามารถยกระดับบทบาทให้เป็นที่ยอมรับจากทั้งภาครัฐและเอกชน และสามารถบริหารงานได้โปร่งใส เป็นธรรม เพื่อประโยชน์ของส่วนรวมได้แค่ไหน และ “ชัย อรุณานนท์ชัย” จะเป็น “ตัวจริง” หรือเป็นแค่ “หุ่นเชิด” อย่างที่ใคร ๆ พูดกันหรือไม่ ?
อ่านข่าวต้นฉบับ: ‘โก้-ภูมิกิตติ์’ ผงาด สทท. ‘ชัย อรุณานนท์ชัย’ ตัวจริงหรือหุ่นเชิด ?
การบินไทย หนุน Easy E-Receipt ลดหย่อนภาษีสูงสุด 50,000 บาท
การบินไทย สนับสนุนโครงการ “Easy E-Receipt 2.0” ลดหย่อนภาษีประจำปี 2568 สูงสุด 50,000 บาท กระตุ้นการบริโภคในประเทศ
บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมสนับสนุนมาตรการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศของรัฐบาล ภายใต้โครงการ “Easy E-Receipt 2.0” ซึ่งช่วยให้ประชาชนสามารถขอใบกำกับภาษีหรือใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-Tax Invoice & E-Receipt) จากการซื้อสินค้าและบริการของการบินไทย โดยสามารถใช้ใบเสร็จดังกล่าวในการลดหย่อนภาษีในปีภาษี 2568
โครงการดังกล่าวเปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถขอ E-Tax Invoice หรือ E-Receipt สำหรับสินค้าและบริการจากครัวการบินไทย เช่น ร้าน Puff and Pie, บริการจัดเลี้ยง, และภัตตาคารการบินไทย รวมถึงสินค้าจากร้าน THAIShop ซึ่งร่วมรายการตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568
ผู้ที่ต้องการรับใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์จะต้องแจ้งชื่อ หมายเลขบัตรประชาชน ที่อยู่ และ E-Mail address เพื่อให้บริษัทส่งใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ให้ทางอีเมล์ที่แจ้งไว้ในภายหลัง
“Easy E-Receipt 2.0” มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดยส่งเสริมการใช้จ่ายของประชาชนและการใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์อย่างเต็มรูปแบบ โดยผู้เสียภาษีสามารถลดหย่อนภาษีได้จากค่าใช้จ่ายที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท
ทั้งนี้ บริษัท การบินไทยพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวอย่างต่อเนื่องและมั่นคงในปี 2568
อ่านข่าวต้นฉบับ: การบินไทย หนุน Easy E-Receipt ลดหย่อนภาษีสูงสุด 50,000 บาท
10 อาหารมงคลตรุษจีน เสริมโชคลาภ-ความรุ่งเรืองในปีใหม่
ตรุษจีน 2568 นี้ เตรียมพร้อมรับโชคลาภและความรุ่งเรือง ค้นพบ 10 อาหารมงคลที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จ ความมั่งคั่ง และสุขภาพที่ดี เสริมสิริมงคลให้ครอบครัวในปีใหม่ พร้อมร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนอย่างมีความหมายไปพร้อมกัน
วันที่ 29 มกราคม 2568 ที่กำลังจะมาถึงนี้ตรงกับเทศกาลตรุษจีน 2568 หรือ วันปีใหม่จีน ซึ่ง “ประชาชาติธุรกิจ” ได้รวบรวมอาหารมงคลในช่วงเทศกาลมาให้เลือกสรรกัน ถือเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จ โดยในหลายประเภทมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับความโชคดีและการเจริญรุ่งเรืองในปีใหม่ โดยอาหารเหล่านี้ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงการเฉลิมฉลองตรุษจีนทุกปี และเชื่อว่าจะช่วยเสริมสิริมงคลให้กับครอบครัวในปีใหม่ที่จะมาถึงนี้ด้วย
10 อาหารมงคลที่ต้องทานในช่วงตรุษจีน 2568 เสริมโชคลาภและความรุ่งเรือง ได้แก่ :
1.ขนมเข่ง ขนมเทียน – ความสำเร็จ ขนมเข่งและขนมเทียนที่ทำจากแป้งข้าวเหนียวทั้งหวานและคาว มักจะถูกมอบให้กันในช่วงตรุษจีนเพื่อส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองและการได้ตำแหน่งงานที่สูงขึ้น พร้อมกับความสำเร็จตลอดปีใหม่
2.บัวลอยจีน – ความสามัคคีในครอบครัว บัวลอยจีนที่ทำจากแป้งข้าวเหนียวและมีไส้เป็นงาดำหรือถั่วแดง สื่อถึงความสามัคคีและการรวมตัวของครอบครัว ด้วยรูปร่างกลมที่มีความหมายดีในช่วงปีใหม่ตรุษจีน
3.เกี๊ยว – ความร่ำรวย เกี๊ยวมีรูปทรงคล้ายทองแท่งจีน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความร่ำรวย การรับประทานเกี๊ยวในช่วงตรุษจีนจะนำโชคลาภและความมั่งคั่งตามความเชื่อของชาวจีน
4.ปอเปี๊ยะทอด – ความร่ำรวย ปอเปี๊ยะทอดสีทอง เป็นอาหารที่ได้รับความนิยมในช่วงตรุษจีน เนื่องจากมันมีลักษณะคล้ายทองแท่ง ซึ่งสื่อถึงความร่ำรวยและการเจริญเติบโตทางการเงิน
5.ปลา (ทั้งตัว) – ความมั่งคั่งและเจริญรุ่งเรือง ปลาเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งและความอุดมสมบูรณ์ และการเสิร์ฟปลาทั้งตัวในมื้ออาหารจะสื่อถึงความมั่งคั่งที่เหลือเฟือในทุกด้าน
6.ไก่ (ทั้งตัว) – โชคลาภ ไก่ในภาษาจีนออกเสียงคล้ายคำว่า “โชคลาภ” การทานไก่ทั้งตัวในช่วงตรุษจีนจึงเป็นการเสริมโชคและความรุ่งเรืองในชีวิต
7.กุ้ง – ความสุข ในภาษากวางตุ้ง คำว่า “กุ้ง” ฟังคล้ายเสียงหัวเราะ เป็นสัญลักษณ์ของความสุขและชีวิตที่มีความมีชีวิตชีวา รวมถึงโชคลาภ
8.บะหมี่อายุยืน – อายุยืน บะหมี่ที่มีความยาวกว่าปกติ ถือเป็นสัญลักษณ์ของการมีอายุยืนยาวและสุขภาพดี ซึ่งการทานบะหมี่ในวันตรุษจีนเป็นการขอพรให้มีชีวิตที่ยืนยาว
9.ข้าวเหนียวแปดเซียน – ความมั่งคั่งและเจริญรุ่งเรือง ข้าวเหนียวแปดเซียน หรือข้าวเหนียวแปดสมบัติที่มีส่วนประกอบจากผลไม้แห้งและธัญพืช 8 ชนิด เป็นสัญลักษณ์ของความร่ำรวยและการเจริญรุ่งเรือง เนื่องจากเลข 8 ถือเป็นหมายเลขโชคดีในวัฒนธรรมจีน
10.ส้มมงคล – โชคลาภและความสำเร็จ ส้มมงคลเป็นผลไม้ที่นิยมมอบให้กันในช่วงตรุษจีน เนื่องจากสีส้มและรูปร่างของมันสื่อถึงโชคลาภและความสำเร็จ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนาในปีใหม่
การทานอาหารมงคลเหล่านี้ในช่วงเทศกาลตรุษจีนไม่เพียงแต่จะเสริมโชคลาภและความมั่งคั่งเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมความสุขและความเจริญรุ่งเรืองให้กับครอบครัวในปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง ตรุษจีน 2568 นี้ให้ทุกคนมีความสุขและความสำเร็จตามที่ปรารถนา
อ่านข่าวต้นฉบับ: 10 อาหารมงคลตรุษจีน เสริมโชคลาภ-ความรุ่งเรืองในปีใหม่